Showing posts with label Knowledge. Show all posts
Showing posts with label Knowledge. Show all posts

12/11/2016

วิธีซ่อนฟีดข่าว เวลาคุณเป็นเพื่อนกับคนอื่นใน Facebook

เวลาเราเป็นเพื่อนกับใครใน Facebook จะมีฟีดข่าวนั้นเด้งไปโผล่ใน News Feed ของเพื่อนๆเรา ทำให้เราอาจจะโดนเพื่อนแซว ระดมกดไลค์ใส่ความสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่คนนั้นๆได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาสอนวิธีปิดกัน

วิธีปิดฟีดข่าวความสัมพันธ์ เวลาเป็นเพื่อนกับคนอื่นใน Facebook

1) เข้าไปที่หน้าโปรไฟล์ของเราก่อน จากนั้นกดไปที่แถบ "เพื่อน"

วิธีปิดฟีดข่าวความสัมพันธ์ เวลาเป็นเพื่อนกับคนอื่นใน Facebook


2) กดปุ่มรูปดินสอเล็กๆด้านขวาสุด จากนั้นกด "แก้ไขความเป็นส่วนตัว"

ซ่อนฟีดข่าวความสัมพันธ์ เวลาคุณเป็นเพื่อน กับคนอื่น

3) จากนั้นจะมีป็อปอัพแบบด้านล่างโผล่ขึ้นมา ให้สังเกตหัวข้อรายการเพื่อน เปลี่ยนความเป็นส่วนตัวให้กลายเป็น "เฉพาะฉัน" แทนครับ

ซ่อน News Feed เวลาคุณเป็นเพื่อน กับผู้อื่น "คุณได้เป็นเพื่อนกับ อีกคน"


เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว เวลาคุณเป็นเพื่อนกับใครจะไม่ขึ้นฟีดข่าวอีกต่อไป รวมถึงเพื่อนจะไม่สามารถเข้ามากดดูได้ว่าคุณมีเพื่อนเป็นใครบ้าง เพื่อนจะสามารถดูได้แค่ เพื่อนที่มีร่วมกัน(Mutual Friends) ระหว่างคุณกับเพื่อนที่ดูเท่านั้น


11/16/2016

วิธีโหลดคลิปวิดีโอจาก Facebook โดยไม่ต้องใช้โปรแกรม

วันนี้เราจะมานำเสนอเทคนิคการดาวน์โหลดคลิปวิดีโอจาก Facebook กัน หรือนำไปประยุกต์ใช้ในการส่งลิงค์ของคลิปวิดีโอให้เพื่อนที่ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงคลิปนั้น ให้เขาสามารถดูได้ (กรณีที่คลิป Private และไม่ได้เป็นเพื่อนกับเจ้าของคลิปวิดีโอ)

มาดูวิธีการดาวน์โหลดคลิปโดยไม่ต้องใช้โปรแกรมช่วยใดๆกันเลย

1) เข้าไปที่หน้าแสดงวิดีโอนั้นๆ ซึ่งจะมีหน้าตาแบบนี้

* ถ้ากดจาก New Feed ตัว URL อาจจะไม่เปลี่ยน ให้ทำการกดที่เวลาของคลิปนั้น เพื่อเข้าไปหน้าหลักของคลิปก่อน ดังในคลิปตัวอย่างคือกดที่ 'เมื่อวันจันทร์'

ตัวอย่างการดาวน์โหลด คลิปวิดีโอจาก Facebook โดยไม่ใช้โปรแกรม

2) สังเกต URL ด้านบนที่ผมไฮไลท์สีฟ้าเอาไว้ ให้เราก็อปปี้ตัวเลขนั้นมา ซึ่งเป็นไอดีของคลิปวิดีโอที่เราต้องการจะดาวน์โหลดนั่นเอง

3) จากนั้นเปิดแทปหน้าเว็ปไซต์และเข้าไปที่  https://x.facebook.com/video/video.php?v="Video ID" จากนั้นแก้ Video ID เป็นตัวเลขของคลิปวิดีโอที่เราจะดาวน์โหลดแล้วกด Enter เพื่อเข้าไป

จากคลิปตัวอย่างเราจะเป็น URL ดังนี้ https://x.facebook.com/video/video.php?v=576723135858022  

4) เมื่อกดเข้าไปจะมีหน้าเว็บที่แสดงคลิปวิดีโอตาม ID ที่เรากรอกไว้โผล่ขึ้นมา เราก็สามารถคลิกขวาที่คลิปวิดีโอนั้น และกดบันทึกเป็น เพื่อดาวน์โหลดได้ทันที

ตัวอย่างการดาวน์โหลด คลิปวิดีโอจาก Facebook โดยไม่ใช้โปรแกรม

แค่นี้เราก็สามารถดาวน์โหลดคลิปวิดีโอของ Facebook โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมได้แล้ว หรือนำ URL นั้นไปแชร์ ส่งต่อให้เพื่อนดู โดยที่คนดูไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนกับเข้าของคลิป

***ไม่แนะนำให้ดูดคลิป และเผยแพร่เป็นของตัวเองครับ นี่เป็นกรณีศึกษาเฉยๆครับ

9/15/2015

HCI ( Human Computer Interaction) คืออะไร?


HCI คืออะไร ? ทำไมต้อง HCI ?


HCI คืออะไร ? ทำไมต้อง HCI ?

HCI ( Human Computer Interaction) คือ การศึกษาการปฎิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ กับคอมพิวเตอร์ ศึกษาการใช้งานของผู้ใช้ ว่ามีการใช้งาน คอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์อย่างไร เพื่อให้ผู้พัฒนาระบบ หรือแอปพลิเคชันนั้น ได้ออกแบบให้ผู้ใช้ใช้งานได้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และตอบโจทย์ผู้ใช้นั่นเอง 

ทำไมต้อง HCI ?
ในอดีตคนใช้งานระบบ จะเป็นคนมีประสบการณ์ เป็นคนที่มีทักษะด้านเทคนิค แต่ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ หรือมือถือต่างๆ นั้นมีราคาไม่แพง และถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนยุคใหม่ ทำให้ผู้ใช้บางคนนั้นไม่มีทักษะด้านเทคนิคก็สามารถใช้งาน คอมพิวเตอร์และแอปพลิเคชันในด้านต่างๆ 



จุดประสงค์หรือเป้าหมายของ HCI

Ease of learning and Usability ทำให้ระบบ หรือแอปพลิเคชันที่เราทำนั้นง่ายต่อการเรียนรู้ ทำให้ใช้งาน ใช้ประโยชน์ได้จริง
  • Novice User ก็ควรออกแบบให้ง่าย ไม่ซับซ้อน
  • Experience User ก็ต้องการ function เยอะๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ทำงานได้เร็ว และดีกว่าเดิม

High speed of user task performance ทำให้ทำงานได้อย่างรวดเร็วขึ้น 

- Low user error rate คือออกแบบให้ user นั้นใช้งานได้ถูกต้อง ใช้งานผิดพลาดให้น้อยที่สุด ถ้าเกิด Error น้อย แสดงว่ามี Usability ที่ดี ทำให้ User สร้าง error ได้น้อย

User retention over time  เวลาที่ User พึ่งใช้งาน หรือใช้หลังจากเวลาผ่านไปนานแล้ว ก็ยังคงจดจำการใช้งานได้อยู่ หรือรื้อฟื้นความจำได้ง่าย

Subjective user satisfaction - ความพึงพอใจส่วนบุคคล ว่ามีความรู้สึกเป็นสุขมากน้อยแค่ไหนในการใช้งาน 






8/26/2015

สร้างโลโก้ ออนไลน์ฟรีๆ ด้วย Cooltext

สำหรับใครที่ต้องการจะสร้างโลโก้ (Logo) ทำโลโก้ ออนไลน์ ด้วยตนเองแบบสวยๆ ผมแนะนำเว็บไซต์ Cooltext.com

Cooltext.com นั้นจะสามารถให้คุณสร้างโลโก้ ของคุณเองได้ ซึ่งจะมีรูปแบบต่างๆมาให้เราเลือก รวมถึงฟอนต์ต่างๆมากมาย เราสามารถปรับแต่งสี เงา และเส้นขอบเองได้ตามใจชอบเลย

วิธีการใช้งาน

หลังจากเข้ามาหน้าเว็บไซต์ Cooltext.com  แล้ว จะมีรูปแบบที่เขาทำให้ หลายแบบด้วยกัน ให้เราเลือกแบบที่เราชอบ แล้วคลิกครับ ถ้าไม่ชอบเลย ก็คลิกอันที่ใกล้เคียง แล้วคุณก็เปลี่ยนฟอนต์เปลี่ยนสีตามใจคุณได้เลย

สร้างโลโก้ สวยุดๆ ฟรีๆด้วย Cooltext.com



สมมุติผมคลิกแบบแรก แบบ SKATE เราจะเข้ามาหน้าที่เราออกแบบได้ ซึ่งเราจะสามารถจัดการ Logo ของเราได้จาก 4 แถบ ประกอบด้วย Text,Logo,Shadow,Image

แถบ Text

เป็นแถบที่ให้เราแก้ไขข้อความของโลโก้  (Logo Text) แก้ไขฟอนต์ได้ ซึ่งทางเว็ปไซต์มีฟอนต์สวยๆให้เลือกมากมาย รวมถึงแก้ไขขนาดตัวอักษร

Create logo online free with cooltext

แถบ Logo

แถบ Logo เป็นแถบที่จะปรับรูปแบบของโลโก้คุณ ในเรื่องของสี และเส้นขอบ คุณสามารถไล่สีได้ด้วยการปรับ Start Color และ End Color ไปเป็นสีที่ต้องการ ถ้าไม่ต้องการไล่สีก็ให้ตั้งสีเดียวกันครับ

จากตัวอย่างผมปรับเป็นสีเขียว และลดขนาดเส้นขอบลง

ปรับสีโลโก้ เส้นขอบโลโก้


แถบ Shadow 

เป็นแถบที่ให้เราจัดการเรื่องเงาได้ ว่าจะต้องการมีเงาไหม เงาเข้มหนา เงาสีอะไร ก็ว่ากันไป

ปรับเงาโลโก้

แถบ Images

แถบ Images จะให้เราจัดการขนาดรูปภาพของเราได้ และสามารถเพิ่มพื้นหลังโลโก้เราได้เช่นกัน ปกติค่าพื้นฐานมันจะไม่มีพื้นหลังครับ

ปรับขนาดโลโก้ รวมถึงพื้นหลังของโลโก้


หลังจากแต่งจนพอใจแล้ว ก็กด Create Logo ได้เลยครับ หลังจากกดแล้ว จะมีปุ่มให้เรากด Download Images ครับ ส่วนถ้ากดแล้วอย่างจะแก้ไขให้กด Edit Images


ตัวอย่างการสร้างโลโกด้วย Cooltext

*** รูปนี้เป็นตัวอย่างการสร้างโลโก้แบบง่ายๆด้วย Cooltext.com ***

โลโก้ของเว็บไซต์นี้ก็ทำจาก Cooltext.com เช่นกันครับ ถ้าใครอยากจะทำโลโก้สวยๆ ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ Cooltext.com เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคุณครับ

สำหรับใครที่สนใจสร้างโลโก้ราคาไม่แพง แต่ได้ครบครันทุกฟังชันก์ ทั้ง Logo เว็บ, Favicon, Logo สำหรับ นามบัตรและไฟล์ word สามารถไปสร้างกันเองได้ที่ Logaster อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ แนะนำเว็บไซต์ Logaster สร้างโลโก้เองในราคาที่ไม่แพง แต่ได้ครบทุกอย่าง









8/02/2015

ทำโลโก้แบบถูกๆ หรือจ้างงานต่างๆ เพียง $5 ด้วย Fiverr


ทำโลโก้ สวยๆ แบบมืออาชีพ กับ Fiverr

คราวก่อนเราเคยแนะนำการสร้างรายได้ด้วย Fiverr กันไปแล้วนะครับ อ่านได้ที่ Make Money With Fiverr

แต่ทีนี้เราก็สามารถใช้บริการถูกๆจาก Fiverr ได้เช่นกันครับ ซึ่งบริการใน Fiverr จะเป็นงานเล็กๆ ในราคา $5 เท่านั้น

แบ่งเป็นหมวดใหญ่ๆคือ Graphics & Design,Online Marketing


ซึ่งก็จะมี Service เล็กๆให้เราได้เลือกใช้งานกันนะครับ แต่ที่ผมเห็นว่าโอเคราคาถูก จะอยู่ในหมวด Graphics & Design ครับ ซึ่งสามารถทำโลโก้สวยๆ ในราคาเพียง $5 เท่านั้นครับ

นี่เป็นตัวอย่าง Service ที่รับทำโลโก้ ครับ เราก็เลือกบริการที่เราถูกใจ และจ้างเขาได้ครับ
ทำ logo ทำโลโก้ สวยๆ แบบมืออาชีพ กับ Fiverr

แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่โลโก้ครับ ยังมีวาดรูปต่างๆ ,แปลงไฟล์ , ตัดต่อรูป ทำ SEO ให้ , ทำวิดีโอ ,โมเดล, อัดเสียง ,แก้ไขเว็ปไซต์ ,ทำเกมส์, Source code แอปพลิเคชั่นต่างๆ หรืองานเล็กๆอื่นๆอีกเยอะเลยครับ ใครสนใจก็เข้าไปดูได้ที่ https://www.fiverr.com

ถ้าใครสมัครผ่าน Link นี้ https://www.fiverr.com/s2/0034952732  คุณสามารถใช้ Free Gigs ได้ครั้งนึงครับ หรือก็คือทำโลโก้ฟรีได้เลยนั่นเอง

โดยหลังจากสมัคร และล็อคอินเข้าไปแล้วให้กดปุ่ม Free gigs ด้านบนสุดเว็ปไซต์ จากนั้นจะแสดงรายละเอียดบริการ ที่เราสามารถเข้าไปใช้ได้ฟรีๆ ซึ่งเราจะสามารถใช้ได้ครั้งนึงครับ

ทำโลโก้ สวยๆ แบบมืออาชีพ กับ Fiverr


หรือถ้าใครสนใจ อยากจะสร้างรายได้กับ Fiverr ก็ทำได้เช่นกันครับ อ่านเพิ่มเติมที่ แนะนำวิธีหารายได้ออนไลน์กับ Fiverr








6/20/2015

มารู้จัก Dropbox กันเถอะ

มาทำความรู้จักกับ Dropbox ว่า Dropbox  คืออะไร ดียังไง และการใช้งานเบื้องต้น

Dropbox คืออะไร ดียังไง


Dropbox นั้นคือเว็ปไซต์ ที่ให้บริการฝากไฟล์ ของเรา ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ หรือไฟล์เอกสารต่างๆ และสามารถแชร์ให้คนอื่นผ่านลิงค์ ได้อีกด้วย ซึ่งสามารถใช้งานได้จากทุกที่แค่เรามีอินเทอร์เน็ตนั่นเอง

ที่ดีกว่านั้น คือใช้บริการได้ Free ! นั่นเองครับ แต่ว่าจะจำกัดพื้นที่ไว้ที่ 2 GB แต่ก็ถือว่ามากพอตัวเลยนะครับ

วิธีการใช้งานเบื้องต้น

1) ขั้นแรก ไปสมัครกันก่อนที่ Register Dropbox

สมัคร Dropbox ใช้งานฟรี

2) หลังจากนั้นล็อคอินเข้ามา จะอยู่ในหน้าแบบนี้ จะมีแถบเมนูด้านข้าง จะมี File,Photo , Sharing ต่างๆ มาดูเบื้องต้นก่อนคือแถบ File ซึ่งจะแสดงรายละเอียดไฟล์ต่างๆที่เราได้อัพโหลดไว้นั่นเอง ก็จะมีชื่อไฟล์ สกุลไฟล์ เวลาที่อัพโหลด

การใช้งาน Dropbox เบื้องต้น


3) ขั้นตอนการอัพโหลดไฟล์ ง่ายๆ คลิกขวา และเลือก Upload จากนั้นก็เลือกไฟล์ที่เราต้องการ แค่นี้ก็จะได้ไฟล์อัพลงไปใน Dropbox แล้ว

วิธีการอัพโหลดไฟล์ Dropbox

4) ขั้นตอนการแชร์ไฟล์ คลิกขวาที่ไฟล์ที่เราต้องการจะแชร์ แล้วกดแชร์

วิธีการแชร์ไฟล์ Dropbox

5) จากนั้นจะขึ้นมาเป็นหน้าต่างแชร์ ดังนี้ เราสามารถ Copy ลิงค์ และส่งให้เพื่อน หรือคนที่ต้องการจะส่งไฟล์ให้ ไปดาวโหลดไฟล์จากลิงค์นี้ได้ทันที

วิธีการแชร์ไฟล์ Dropbox

6) ถ้าเราอยากได้เนื้อที่เพิ่มและฟรี ยังมีอยู่ครับ แต่เพิ่มได้ไม่มาก ให้เราเข้าไปในแถบ Get Start จากมีภารกิจให้ทำครับ ซึ่งจะเพิ่มเนื้อที่ได้อีก 250 MB นั่นเอง ถ้าต้องการมากกว่านี้ต้องเสียตังครับ

ภารกิจเพิ่มเนื้อที่ของ Dropbox

อ่านถึงตรงนี้ ถ้าใครสนใจก็สามารถไปสมัครใช้งานได้ฟรีๆ ที่ Register Dropbox 

จะเห็นว่าการใช้งานง่าย และฟรีแบบนี้ ต้องลองไปใช้กันดูนะครับ






6/14/2015

มาทำความรู้จักกับ DigitalOcean กันเถอะ

วันนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักกับ DigitalOcean 

สมัครได้ที่ Register DigitalOcean คุณจะได้รับไปฟรีๆ $10 หลังจากสมัคร



DigitalOcean คือ บริการ Virtual Private Server (VPS) ส่วนตัวให้เรานั่นเอง  งั้นเราจะมาอธิบาย VPS ว่ามันคืออะไรกันคร่าวๆ VPS อธิบายง่ายๆก็คือ Server เสมือน โดยทาง DigitalOcean ก็จะมีเครื่อง Server หลักที่จะสร้าง Server เสมือนมาให้เราใช้ โดยแบ่งพื้นที่ แบ่ง Ram มานั้น เป็น Server ย่อยๆข้างในเครื่องหลัก

ซึ่งก็คือเราจะมี Server เสมือนเป็นของตัวเอง ที่เราจะลงระบบปฎิบัติการณ์อะไรก็ได้ (Ubuntu , Centos หรืออื่นๆ) ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็จะนำมาเป็น Hosting สำหรับ Website นั่นเอง

มาดูในส่วนราคากันบ้าง

ราคา ของ DigitalOcean

เริ่มต้นเพียง $5 ต่อเดือนเท่านั้น หรือประมาณ 160บาท/เดือน  ความจริงไม่ได้คิดเป็นเดือนหรอกครับ คิดเป็นชั่วโมง แต่ต้องการจะสื่อให้เข้าใจง่ายๆ เลยตีเป็นเดือนละ $5

ถ้าเทียบราคากับทางฝั่ง Amazon Web Service (AWS) นั้น ถูกกว่ามากเลยทีเดียว จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ DigitalOcean นั้นเติบโตเร็วกว่า AWS เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 


การใช้งาน

เริ่มที่ สมัครสมาชิก กันก่อน 

สมัครที่ Register DigitalOcean คุณจะได้รับไปฟรีๆ $10 หลังจากสมัคร

หลังจากนั้นให้เริ่มสร้าง Droplet ( เครื่อง Server เสมือนแต่ละเครื่องจะถูกเรียกว่า Droplet)

1) ใส่ชื่อ ของ Droplet ของคุณ

2) เลือก Size ของ Droplet ของคุณว่าจะเอาพื้นที่เท่าไร ความเร็วแค่ไหน
วิธีการสร้าง Droplet ของ DigitalOcean เบื้องต้น


3) เลือกระบบปฎิบัติการณ์ (OS) ที่คุณสนใจ หรือซอฟแวร์บน OS นั้นๆเลย เช่น (Wordpress on Ubuntu 14.04)
ระบบปฎิบัติการณ์ (OS) ของ DigitalOcean

Applications ที่มีให้เลือกใช้


*ส่วน SSH ถ้าไม่มี ไม่ต้องใส่ก็ได้ 

*Available Settings คือฟังชันก์เสริม เราจะเอาหรือไม่เอาก็ได้


เสร็จแล้ว กด Create Droplet เลย  หลังจากนั้นระบบก็จะทำการสร้าง Droplet ของเรา ก็รอจนเสร็จ

Droplet Control Panel

ก็จะได้หน้าตาประมาณนี้ หน้าตาของ Droplet Control Panel คือหน้าสำหรับ Manage ตัว Droplet เรานั่นเอง

ตัวอย่างสิ่งที่ทำได้จาก Droplet Control Panel

Power On สำหรับเปิดเครื่อง
Power Off สำหรับปิดเครื่อง
Power Cycle คือการ Restart เครื่องแบบชักปลั๊กออก
Destroy สำหรับทำลาย Droplet ตัวนั้นทิ้งเลย
Rename เปลี่ยนชื่อ Droplet
Resize สำหรับเปลี่ยนขนาดตัว Server เรา
Take a Snapshot คือการทำ Backup เอาไว้ ระหว่างที่ทำจะไม่สามารถทำอะไรกับระบบได้

คร่าวๆไว้แค่นี้ก่อนแล้วกันครับ คราวหน้าจะมาสอนวิธีลง Wordpress บน DigitalOcean กันนะครับ











5/11/2015

ETL คืออะไร?


ต่อจากคราวเก่าที่พูดเรื่อง Business Tools และ Data warehouse กันไปแล้วนะครับ

การที่เราจะนำข้อมูลมาเก็บลง Data warehouse ได้นั้น เราจะต้องผ่านขั้นตอน ที่เรียกว่า ETL ก่อน แล้วมันคืออะไรล่ะ


ETL ย่อมาจาก Extract Transform Load ครับ

Extract ดึงข้อมูลมาจาก Database หลายๆตัว หรือดึงมาจากข้อมูลด้านนอก ( External Sources) ครับ

Transform จะเป็นส่วนตรวจสอบแล้วจัดรูปนะครับ

         - Data Cleaning คือการตรวจสอบความถูกต้องข้อมูล ถ้าผิดก็จะแก้ไขให้
         - Data Mapping คือการจัดรูปแบบให้เหมือนกันครับ เช่น จาก Database ตัวแรก เก็บข้อมูล เพศ ชายเพศหญิง เป็น M ,F  ส่วนอีกตัวเก็บเป็น Male , Female ซึ่งมันไม่เหมือนกัน เราจำเป็นต้อง format มันให้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน

Load ขั้นตอนนี้คือการนำข้อมูลที่ Transform แล้ว เข้าสู่ Data warehouse ครับ


มารู้จักกับ ETL Tools กันต่อเลย

ETL Tool คือเครื่องมือที่จะจัดการข้อมูล ในรูแบบของ ETL ครับ ซึ่งมันฉลาดครับ มันรู้จักกับชนิดข้อมูลต่างๆ ซึ่งเราก็ควรให้เหมาะสมครับ เช่นเราใช้ Database ของ Oracle เราก็ควรจะซื้อ ETL ของ Oracle มานั่นเอง ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็อาจจะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป

ETL Tools ทาอะไรบ้าง?

Data Cleansing - เมื่อมีข้อมูลมาแล้ว เราจะต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล แล้วปรับให้มันดีขึ้น รวมทั้งกาจัดข้อมูลทีผิดพลาดไป

Data Transformation - ข้อมูลบางอย่างที่เราได้มามันไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่เราจะเอาไปวิเคราะห์ได้ ง่ายๆ เช่น เรามีข้อมูลของคน เช่นวันเดือนปีเกิด ของลูกค้า แล้วเวลาเราเอาไปวิเคราะห์เราไม่ได้เฉพาะเจาะจงเป็นวัน เราจะคำนวนเป็นช่วงอายุ เช่นวัยเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา เป็นต้น ทาให้เราต้อง convert ก่อนว่าเป็นวัยไหน

Data Loading and Refreshing - กาหนด schedule ได้ว่าจะให้โหลดมาทุกๆกี่วัน หรือทุกๆเท่าไหร่ รวมทั้งยังสามารถกำหนด storage ปลายทางได้อีกด้วย

Why is ETL important? ทำไม ETL สำคัญ
- ช่วยในการแก้ไขข้อมูลพลาดข้อมูล
- ปรับข้อมูล จากหลายๆ Database และจาก External Source ให้อยู่ในรุปแบบเดียวกัน ให้ใช้ด้วยกันได้
- เพิ่มมูลค่าให้ข้อมูล เพราะเราสามารถนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ได้
- ข้อมูลเหล่านั้นไม่สามารถควบคุมได้ เพราะ ใช้กันอยู่ทุกวัน จะไปปรับเปลี่ยนมันยาก เลยต้องมี ETL เพื่อเอามาแปลงให้มันไปในทำงเดียวกัน


Metadata repository เป็นตัวอธิบายโครงสร้างของ Data warehouse จะคล้ายๆกับ Data dictionary แต่จะระบุข้อมูลเยอะกว่า เช่นมาจาก field ไหน table อะไร transform (ETL) ยังไง  Load เข้าเวลาไหน

ตัวนี้จะใช้เพื่อทำ ETL เป็นหลัก ก่อนทำ ETL ต้องอ่านตัวนี้ก่อน




5/09/2015

Business Intelligence Tools คืออะไร

การทำธุรกิจปัจจุบันนั้น เราจะมีการนำ IT เข้าไปร่วมด้วยเสมอๆ ตั้งแต่อดีตมาแล้ว ที่นำคอมพิวเตอร์ มาพิมพ์ข้อมูล ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และเราทำอะไรไปบ้าง แต่ในอดีตเรายังไม่ได้นำ IT มาช่วยตัดสินใจว่าเราจะทำอะไรต่อ จะลงทุนอย่างไร

ซึ่งปัจจุบัน เรามีการนำ IT มาช่วยในการวิเคราะห์ ช่วยคิดช่วยตัดสินใจ และนี่คือที่มาของเครื่องมือที่จะช่วยในการทำธุรกิจอย่างชาญฉลาด เพื่อผลตอบแทนที่ดีขึ้น

เราเรียกเครื่องมือทางธุรกิจนั้นว่า Business Intelligence Tools ซึ่งแบ่งเป็นหลายส่วน เช่น

Data Warehouses คือคลังข้อมูลขนาดใหญ่ ที่รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นในการวิเคราะห์ ต่อธุรกิจ ซึ่งจะดึงข้อมูลมาจากหลายๆแหล่งข้อมูล โดยจะเน้นข้อมูลที่สำคัญที่เราต้องการจะนำไปวิเคราะห์ โดย เราจะใช้ OLTP (Online Transaction Processing) Tools ในการช่วยดึงข้อมูลมา

OLTP เป็น Transaction สำหรับจัดการข้อมูลในแต่ละวัน ว่าทำอะไรไปบ้าง ขายอะไรไป เท่าไหร่ อย่างไร ลูกค้าคนไหนเป็นต้น และเราจะนำข้อมูลพวกนี้ดึงมาเก็บไว้ใน Data Warehouses ซึ่งเวลาเราอย่างดูยอดขาย หรือดูสินค้าไหนขายดีสุด เราก็สามารถดึงขึ้นมาดูได้

โดยข้อมูลเหล่านี้ เหมาะสำหรับช่วยผู้บริหารดู เพื่อช่วยในการวิเคราะห์และตัดสินใจ

- Data Warehouses แทบไม่ต่างจาก Database เลย และมีวิธีการเก็บข้อมูลเหมือน Database เลย Software ที่ใช้เก็บข้อมูลก็เหมือนกัน เพียงแต่การออกแบบในการเก็บจะต่างกัน Data Warehouse จะสนใจข้อมูลที่จำเป็นต่อธุรกิจเท่านั้น

ข้อมูลหลักๆที่ Data Warehouses สนใจคือ

- ข้อมูลอะไร หรือสินค้า บริการอันไหนที่ถูกซื้อหรือถูกใช้
- เมื่อไหร่? คนซื้อสินค้าเราเยอะ หรือใช้บริการเราเยอะในช่วงเวลาไหน
- ความถี่เยอะแค่ไหน เช่น คนมาซื้อเยอะแค่ไหน ใช้บริการมากแค่ไหน
- จากใคร เช่น ใครสนใจสินค้าเราเยอะ ตรง target เราไหม เพศอะไร อายุเท่าไหร่
- ช่วงไหนของวันที่คนมาซื้อหรือใช้บริการเยอะที่สุด

Characteristics Of Data Warehouse

- Subject Oriented คือจะมองในมุมของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย เช่น มองในเรื่องลูกค้า มองในเรื่อง Product

- Time-variant จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของเวลา เพื่อเก็บข้อมูลในอดีต ว่าเป็นข้อมูล ของช่วงเวลาไหน ซึ่งจะทาให้เราสามารถคาดเดาได้ว่าแนวโน้มของ เทรนด์ในอนาคตต่อไป จะเป็นอย่างไร และควรตัดสินใจอย่างไร

- Non-volatile จะเก็บข้อมูลถาวร เพราะในอนาคตก็จะนำข้อมูลเก่าๆ มาประมวลผลเพื่อวิเคราะห์อยู่เสมอๆ

-Integrated จะรวมข้อมูลจากหลายๆ ส่วน ทั้งจาก Database ภายใน และ ข้อมูลจากที่อื่นๆ

Data Mart คือ Data Warehouse ขนาดย่อย  และจะที่โฟกัสไปในส่วนย่อยนั้นๆที่เราต้องการเลย

เหตุผลที่สร้าง Data Mart คือ
ง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูลที่ใช้บ่อยๆ
- สามารถแบ่งแยกกลุ่มผู้ใช้ได้
- ราคาถูกกว่าที่จะต้องนำ ข้อมูลจาก Data Warehouses ทั้งหมดมาใช้

Data Warehouse Architectures

- Data Warehouse Projects ข้อมูลมาจากหลายๆแผนกในองค์กร ไม่ได้มาจากแผนกใดแผนกหนึ่ง ส่วนใหญ่จะใช้ Enterprise Data Model เพื่อช่วยในการอธิบายโครงสร้างต่างๆ ของ Data warehouse เรียกคำอธิบายนั้นว่า Metadata

- Top-down แบบ Top-down นั้นจะออกแบบที่ตัว Data Warehouse ก่อน คือออกแบบ DB สาหรับทั้งองค์กรก่อน แล้วค่อยออกแบบ Database สาหรับแผนกต่างๆ ทีหลัง

ข้อดี ของแบบนี้คือ รูปแบบของข้อมูลที่เก็บลง Database จะเป็นไปในลักษณะเดียวกัน มาตรฐานเดียวกันทั้งองค์กร

ข้อเสีย ของ Top-down คือ ช้ากว่าแบบ Bottom-up เพราะว่าแบบ Top-down จะต้องเรียกประชุมทั้งองค์กร (ทุกๆ แผนก) เพื่อวางมาตรฐานให้เหมือนๆ กันก่อน แล้วจึงค่อยเริ่มพัฒนาตัว Data mart ของแต่ละแผนก


- Bottom-up แบบ Bottom-up นั้นจะออกแบบที่ Data Mart ของแต่ละแผนกก่อน แล้วจึงค่อยไปออกแบบ Data Warehouse ที่ใช้ทั้งองค์กรทีหลัง

ข้อดี ของ Bottom-up คือ ออกแบบได้เร็ว เพราะว่าไม่ต้องรอประชุมทั้งองค์กร

ข้อเสีย ของ Bottom-up คือ รูปแบบของสิ่งที่ออกแบบมาของแต่ละแผนกจะไม่ตรงกัน เช่น บางแผนกใส่เพศเป็น Female กับ Male แต่อีกแผนกใส่เป็น ชาย กับ หญิง ทาให้รูปแบบไม่ตรงกัน เวลานาไปใช้งานร่วมกัน ก็จะใช้ไม่ได้









2/09/2015

ทำความรู้จักกับ Transaction ใน Database


Transaction คือ การดำเนินการธุรกรรม ที่กระทำข้อมูลให้เกิดการเปลี่ยนจากสถานะนึง ไปเป็นอีกสถานะนึง ภายในหนึ่ง Transaction อาจจะมีหนึ่งคำสั่ง หรือหลายๆคำสั่งก็ได้ เช่น การโอนเงิน ก็จะเกิดจากการถอนเงินจากบัญชีนึง และนำไปฝากให้อีกบัญชีนึงนั่นเอง

ก่อนจะไปรู้จักอย่างอื่นเรามารู้จักกับสถานะของ Transaction ก่อน ซึ่งมีด้วยกัน 2 สถานะคือ

1.) Commit หมายถึง คำสั่งทุกคำสั่งที่เกิดใน Transaction นั้น ประมวลผลเสร็จสมบูรณ์ทุกคำสั่ง ทำให้เปลี่ยนแปลงค่าของข้อมูลใน Database อย่างถาวร

2.) Rollback หมายถึงการประมวลผลใน Transaction นั้นไม่สมบูรณ์ หรือเกิดเหตุขัดข้องขึ้นตอนรันคำสั่ง จะทำให้ Transaction นั้นถูกยกเลิก และค่าข้อมูลจะย้อนกลับไปเป็นค่าเก่า ค่าที่ก่อนจะเกิดการประมวลผล Transaction นี้ เช่น มีลูกค้าต้องการจะถอนเงินออกจากบัญชี แต่บัญชีมีเงินไม่มีเงินพอสำหรับจำนวนที่จะถอน จะทำให้เกิดการ Rollback ยกเลิก Transaction ไป

คุณสมบัติของ Transaction มี 4 อย่าง

1.) Atomicity จะมีด้วยกัน 2 states

  • Done - คือ Transaction นั้นจะประมวลผลเสร็จสมบูรณ์ทุกคำสั่ง ไม่มีผิดพลาด ข้อมูลจะปรับเปลี่ยน และโชว์ให้เห็นเหมือนเรียกดูใน Database ทันที
  • Never Started คือ ถ้าเกิดการประมวลผลใน Transaction นั้นเกิดการผิดพลาดขึ้น จะเกิดการ Rollback ผลนำข้อมูลกลับไปเป็นค่าเดิมก่อนที่จะเกิด Transaction
2.) Consistency การประมวลผล Transaction จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนสถานะของข้อมูล ดังนั้นจะต้องรักษาความถูกต้องของข้อมูลเอาไว้ คือหลังจากประมวลผลเสร็จ ข้อมูลจะต้องอยู่ในสถานะที่ถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องก็จะเกิดการ Rollback

3.) Isolation คือ Transaction ที่มีการทำงานพร้อมกันในเวลาเดียวกันจากผู้ใช้หลายๆคนนั้น จะต้องไม่เกิดการรบกวน แทรกแซงกัน

4.) Durability or permanency หมายถึง Transactions ที่ทำคำสั่งเสร็จสมบูรณ์ คือเกิดการ commit จะทำให้ข้อมูลอยู่ใน Database อย่างถาวร และจะคงอยู่ แม้ว่าระบบจะล่ม

2/01/2015

วิธีการ Activate Microsoft Office 2013

เราจะ Activate โดยใช้โปรแกรม KM Spico กันนะครับ ซึ่งเพียงลง และกดเพียงคลิกเดียวก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ

 สามารถโหลดโปรแกรมได้ที่ KM Spico , KM Spicon Mediafire (Link สำรอง)

1. ขั้นแรก หลังจากโหลดมา เราจะได้ตัวติดตั้ง KM Spico นะครับ กดเข้าไปก็จะได้หน้าตาตอนติดตั้งครับ


2. หลังจากนั้นกด next และยืนยันจะติดตั้งครับ และรอจนกว่ามันจะเสร็จ จนปิดไปเอง


3. หลังจากมันเสร็จและปิดไปแล้ว ก็เข้าไปโฟลเดอร์ที่ลงโปรแกรม KM Spico ครับ และเปิดขึ้นมา จะได้หน้าตาแบบนี้ พร้อมเสียง automatic 

4. กดปุ่มสีแดงครับ ที่ลูกศรชี้อยู่  และรอจนเสร็จครับ เท่านี้ก็จะ activate เสร็จแล้ว ลองเข้า Microsoft Word หรือ Power Point เพื่อเทสได้เลยครับ โดยเข้า ที่ File > Account 



จะขึ้นว่า Product Activated แล้วครับ เป็นอันเรียบร้อยครับ

1/30/2015

9 วิธี ในการหาเงินออนไลน์

1. การทำ Online Survey


หาเงิน หารายได้ออนไลน์ ด้วยการทำ Survey

ถือเป็นวิธีที่นิยมในหมู่นักเรียนนักศึกษา สำหรับการหาเงินออนไลน์ ใช้เวลาว่างเพียงเล็กน้อยในการทำ Survey  ซึ่งข้อมูลนั้นทางบริษัทต้องการเก็บข้อมูลเพื่อไปวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ของเขานั่นเอง คุณสามารถทำเงินได้ 3ยูโร สำหรับการทำแต่ละครั้ง!

สำหรับเว็บสำหรับการทำนั้นมีหลายเว็บที่ดีๆ เช่น GlobalTestMarketMySurveyToluna

อีกเว็บนึงที่ดังและมาแรงก็คือ Swagbucks มีทั้งการทำเซอร์เวย์ ดูวิดีโอ และเล่นเกม

ดูข้อมูลเพิ่มเติมของแต่ละเว็ปไซต์ได้ที่ Full Guide

2. แค่ค้นหา ก็ได้ตังแล้ว

เป็นวิธีที่น่าสนใจมาก ทางเว็ปไซต์ต้องการจะดูว่าเราทำอะไรบ้างในการใช้อินเทอร์เน็ต ไอเดียนี้เกิดจากเว็ปไซต์ Qmee.com ทางเว็ปจะให้เงินรางวัลเมื่อคุณค้นหาใน Google, Bing or Yahoo. แต่คุณต้องติดตั้ง Plug in ของทาง Qmee.com ก่อน หลังจากติดตั้งและค้นหาจะมีข้อมูลของทาง Qmee.com ขึ้นมาด้านข้าง ถ้าเรากดคลิกเข้าไป เราจะได้เงินรางวัล

3. สร้างเว็บไซต์ของตัวคุณเอง

คุณต้องรู้จักโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter หรืออื่นๆ ที่สามารถทำรายได้ไปหลายพันล้าน ซึ่งถ้าคุณมีความคิดที่แปลกใหม่ หรือความสามารถ คุณก็สามารถถ่ายทอดมันออกไป ด้วยเว็ปไซต์ ยิ่งถ้ามีคนสนใจมากๆ คุณก็จะได้รายได้จากมันด้วยการติดโฆษณา หรือได้จาก Sponsor ที่สนับสนุนคุณนั่นเอง หรือเว็ปไซต์ที่ขายผลิตภัณฑ์ของคุณ

หรือง่ายๆก็อาจจะเป็นเว็บบล็อคทั่วไป อาจจะเกี่ยวกับสุขภาพ กีฬา รถยนต์ หรือเรื่องอะไรก็ตามที่เราสนใจ ก็ทำได้ จากนั้นติดโฆษณา ที่ดังที่สุดและไม่ต้องไปง้อ Sponsor ก็คือ Google Adsense ของทาง Google นั่นเอง ไว้ในคราวหน้าอาจจะมาอธิบายเรื่อง Google Adsense เพิ่มเติม


4. การซื้อขาย โดเมนเนม (Domain Name)


ซื้อขายโดเมนเนม (Domain Name) กับ Godaddy


ถ้ายังไม่รู้จักโดเมนเนม ให้อ่าน Domain Name ก่อน ถ้าคิดชื่อสวยๆดีๆออก คุณสามารถไปจดโดเมนเนมได้ที่ GoDaddy.com ส่วนเรื่องราคาของแต่ละโดเมนนั้น ถ้าเป็น โดเมน .COM ราคาปกติจะอยู่ที่ $14.9 ต่อปี  

แต่ส่วนใหญ่แล้ว จะมี Promo Code สำหรับลดราคา ซึ่งบางทีสามารถจดได้ถูกสุดคือ 38 บาท ต่อปีเท่านั้น ส่วนวิธีการหา Promo Code ก็ง่ายมาก เข้าไปที่เว็ป Coupons.com ก็จะมี Promo Code แบบต่างๆให้เราเลือกมากมาย

แล้วสำหรับโดเมนสวยๆ เราก็สามารถขายได้ในราคาที่แพง อาจจะมีคนมาขอซื้อเป็นหมื่นดอลลาร์ หรืออาจจะมากกว่านั้นก็เป็นได้


เพราะฉะนั้นถ้าคุณคิดว่าโดเมนเนม สวย โดเมนเนมไหนจะขายออกราคาสูงๆ ก็รีบไปจดกันมาครอบครองนะ

5. การขายภาพออนไลน์


หารายได้ออนไลน์ ด้วยการขายภาพ


ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นคนถ่ายรูปเก่ง หรือออกเดินทางท่องเที่ยวบ่อยๆ วิธีนี้เป็นวิธีที่คุณสามารถหาเงินได้อีกหนึ่งทาง ด้วยการนำภาพไปขายในเว็บไซต์เช่น Shutter StockFotoliaIstockphoto

มีช่างกล้องหลายคนในไทยเลยที่ทำรายได้กับ Shutter Stock ได้ตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน รายได้จากทางเว็บจะมาจากยอดดาวน์โหลดรูปภาพของคุณ ยิ่งโหลดมาก คุณก็จะได้ส่วนแบ่งมากขึ้น

6. Youtube Video

ถ้าคุณเป็นคนชอบตัดต่อวิดีโอ ทำรายการ ต่างๆ หรือคุณเป็นนักร้อง การนำวิดีโอลง Youtube คุณก็สามารถได้เงินจากโฆษณา  Google Adsense ของทาง Google ได้นั่นเอง

 Google Adsense ของ Youtube สมัคร แล้วเปิดการสร้างรายได้ของคลิป ก็สามารถสร้างรายได้ ได้ทันที่ ซึ่งจะต่างกลับของเว็ปไซต์ ที่จะต้องยื่นสมัคร ให้เว็ปไซต์เราผ่านก่อน ถึงจะสามารถติดโฆษณา ของ Google Adsense ได้

Note:  แต่คลิปวิดีโอที่ติดลิขสิทธิ์ ก็จะไม่สามารถเปิดการสร้างรายได้ได้นะครับ ไม่ก็อาจจะโดนเจ้าของ Report นำคลิปออก หรือนำการสร้างรายได้ออก


7. Testing Website


หาเงินออนไลน์ Testing Website กับ UserTesting

เป็นอีกวิธีที่น่าสนใจมากๆ เจ้าของเว็ปไซต์ก็ต้องการ Feedback ของผู้ใช้อยู่แล้ว จึงมีคนทำการสำรวจ User ว่าการใช้งานของเว็ปนั้นเป็นอย่างไร ให้เราวิจารณ์การใช้งานของเว็ปไซต์นั้นๆ  UserTesting.com เปิดให้คุณได้แสดง Feedback ต่อเว็ปที่เข้าร่วม คุณใช้เวลาเพียง 15-20 นาทีต่อหนึ่งเว็ปไซต์ ซึ่งเว็ปไซต์นึงจะได้ $10  โดยวิธีการคือเขาจะให้เราลงโปรแกรมอัดวิดีโอหน้าจอของเรา และตอบคำถามที่เขาให้ พูดถึงการใช้งาน และวิจารณ์เว็ปไซต์เขานั่นเอง

Note: ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการ Review เว็ปไซต์นะครับ


8. Fiverr

เป็นอีกเว็ปไซต์ที่น่าสนใจ Fiverr นั้นเปิดให้คุณสร้าง Small Service ที่เรียกว่า Gig โดยคุณจะต้องบอกว่าคุณจะทำอะไรให้เขา โดยที่ Gig นึงจะมีราคาเริ่มต้นที่ 5$ ซึ่งลักษณะงาน จะแล้วแต่ความสามารถ หรือความคิดสร้างสรรค์ก็ได้

ยกตัวอย่างงานทั่วไป เช่น ทำโลโก้ให้,แปลภาษา,เขียนโปรแกรม,วาดรูปให้,ทำการบ้านให้,แก้ปัญหา และให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ

ยกตัวอย่างงานที่พบแค่ใน Fiverr ลักษณะงานที่ใช้วามคิดสร้างสรรค์ เช่น จะเขียนชื่อคุณบนทรายแล้วถ่ายรูปให้, ฉันจะเต้นให้คุณดู เพลงอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ , ฉันจะโทรศัพท์ไปแกล้งคนที่คุณต้องการ

ถ้าคุณมีความสามารถหรือสร้างสรรค์ ก็ไปสมัครใช้งานกันได้ที่ https://www.fiverr.com

อ่านเพิ่มเติมได้ที่  แนะนำวิธีหารายได้ออนไลน์กับ Fiverr

ตัวอย่างงานใน Fiverr


9. เว็บไซต์คลอบ Link

เว็บที่ให้บริการย่อลิงค์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นลิงค์โหลดหนัง โหลดเพลง โหลดเกม หรือลิงค์ที่เชื่อมโยงไปยังเว็ปอื่น โดยข้อดียิ่งกว่านั้นคือ ถ้ามีคนมาคลิกลิ้งที่เราย่อไว้นั้น เราจะได้เงินด้วยนั่นเอง

ตัวอย่างเว็ปไซต์ดังๆ Adf.lyOuo.io

ดู Rate การจ่ายตังของ Adf.ly Adf.ly ได้ที่ Adf.ly rates
ดู Rate การจ่ายตังของ Ouo.io ได้ที่ Ouo.io rates

ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับในเว็ปไซต์ของคุณ ในเพจ Facebook ในช่อง Youtube ในเว็ปบอร์ดที่คุณเล่นประจำได้ เป็นการหาเงินไปในตัวด้วย

1/25/2015

Password ที่เราไม่ควรนำมาตั้ง

1.) Password เกี่ยวกับเบอร์โทรของเรา ซึ่งเพื่อน หรือผู้ที่ไม่ประสงค์ดีกับเราสามารถหาเบอร์ของเราได้อย่างไม่ยากเย็น

2.) Password ที่ตั้งเกี่ยวกับวันเกิดของตัวเรา เช่น 11022537 หรือชื่อเราแล้วตามด้วยวันเกิด ทั้งหลาย

3.) Password ง่ายๆทั่วไป ที่คนมักใช้กันอย่างแพร่หลาย ที่ทำให้แม้แต่คนไม่รู้จักก็สามารถเดาพาสเวิร์ดเราได้ไม่ยาก เช่น
   
  • password
  • 123456
  • 12345678
  • abc123
  • qwerty
  • monkey
  • letmein
  • dragon
  • 111111
  • baseball
  • iloveyou
  • 1234567
  • sunshine
  • master
  • 123123
  • welcome
  • shadow
  • football
  • password1
นี่เป็นตัวอย่างของ Password ที่คนมักจะใช้ ทำให้สามารถเดาและเข้ากันไปได้ง่ายๆ หรือสามารถ Brute Force เข้าไปได้ Brute Force  อธิบายง่ายๆคือการสุ่มรหัส โดยใช้โปรแกรมช่วยนะครับ

ซึ่งก็อาจจะใช้เป็น text file ที่เก็บรหัสที่คนมักใช้ ตามตัวอย่างด้านบน แล้วไล่ Password ตามใน text file นั้น เพื่อดูว่าจะเข้าได้ไหม

หรืออาจจะสุ่มไล่ดื้อๆเลย 1111 , 1112 , 1113 ... ไปจนถึง 9999 อารมณ์ประมาณนั้นเลยครับ ถ้าคุณตั้งรหัส 4 ตัว เช่น 1234 ถ้า Brute Force เอา ใช้เวลาเพียง 11 วินาทีเท่านั้น

ถ้าเลข 6 หลัก เช่น 123456 ใช้เวลาประมาณ 18 วินาที เท่านั้น

จึงควรตั้งรหัสผ่านให้มีทั้งตัวอักษรและตัวเลข หรือถ้ามีอักขระด้วย ก็จะปลอดภัยมากๆ :)

9/17/2014

การส่งข้อมูลด้วยสัญญาณดิจิตอล (Digital Transmission)

ก่อนที่ข้อมูลจะส่งผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้น ข้อมูลจะต้องถูกแปลงให้เป็น Analog หรือ Digital ก่อน ในบทความนี้เราจะแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับการแปลงบิตข้อมูล ให้เป็นสัญญาณ Digital

Line Coding คือการแปลงบิตของข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณดิจิตอล แบ่งออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ Unipolar, Polar, Bipolar

Unipolar encoding เป็นวิธีการแปลงบิตข้ออมูลที่ค่อนข้างง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ปัจจุบันไม่มีการใช้งานแบบนี้แล้ว ในการแปลงนั้น ถ้าข้อมูลเป็น 1 จะแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า มีแรงดันไฟฟ้าค่าหนึ่ง แต่ถ้าเป็น 0 คือจะไม่มีแรงดันไฟฟ้าในการส่ง

Polar encoding เป็นวิธีที่ดีกว่าแบบ unipolar เนื่องจากจะใช้แรงดันไฟฟ้า 2 ระดับในการแทนบิตข้อมูล คือมีแรงดันไฟฟ้า ค่าบวก ค่าลบ แบ่งได้ 4 วิธี 

1. Nonreturn to Zero (NRZ) มีรูปแบบการใช้งาน 2 อย่าง

    - NRZ-level วิธีการนี้ถ้าบิตมีค่าข้อมูลเป็น 0 แรงดันจะมีค่าเป็นบวก ถ้าเป็น 1 แรงดันไฟฟ้าจะมีค่าเป็นลบ
    - NRZ-invert วิธีนี้ไม่สนใจว่าลบหรือบวก จะเปลีย่นเป็นแรงดันไฟฟ้าเหมือนบิตเป็น 1 เท่านั้น ถ้าบิตเป็น 0 จะไม่มีการเปลียนแปลงใดๆ

2. Return to zero (RZ) วิธีนี้ถ้าบิตข้อมูลมีค่าเป็น 1 แรงดันไฟฟ้าจะมีค่าบวก แต่ถ้าบิตเป็น 0 จะมีค่าลบ ไม่เหมือน NRZ-L แตกต่างกันที่ทุกครั้งเมื่อต้องการจะแปลงบิตข้อมูลในแต่ละบิต หลังจากเปลี่ยนเป็นบวกหรือลบแล้ว จะต้องกลับมาเป็น 0 ก่อนเสมอ


3. Manchester 
    - ถ้าข้อมูลมีค่าเป็น 1 จะเปลี่ยนแรงดันไฟฟ้าจาก ลบ ไปบวก
    - ถ้าข้อมูลมีค่าเป็น 0 จะเปลีย่นแรงดันไฟฟ้าจาก บวกไปลบ
    


4. Differential Manchester
    - ถ้าข้อมูลมีค่าเป็น 1  ไม่ต้องเปลี่ยนสัญญาณ
    - ถ้าข้อมูลมีค่าเป็น 0 เปลี่ยนแรงดันไฟฟ้า
    - จะมีการเปลี่ยนช่วงตรงกลางของข้อมูลบิต หรือคือทุกๆครึ่งบิตจะเปลี่ยนแรงดันจากลบไปบวก หรือบวกไปลบ


ฺBipolar encoding วิธีการนี้จะใช้แรงดันไฟฟ้า 3 ระดับ คือ บวก ลบ หรือ 0

- เมื่อบิตเป็น 0 แรงดันไฟฟ้าจะ 0
- เมื่อบิตเป็น 1 แรงดันไฟฟ้าจะสลับกันระหว่างเป็นบวกหรือลบ เช่น เมื่อบิตข้อมูลเป็น 1 ครั้งแรก แรงดันจะเป็นบวก แต่บิตเป็น 1 ครั้งสองแรงดันจะลบ สลับกันไปเรื่อยๆ

Block Coding ปรับปรุงประสิทธิภาพของ line coding ให้ดีขึ้น ทำให้ความผิดพลาดจากการส่งน้อยลง โดยการเพิ่มบิตพิเศษเข้าไป เพื่อช่วยในการตรวจสอบความสอดคล้องกันในการส่งข้อมูล และตรวจความผิดพลาด แบ่ง 3 ขั้นตอน

1. การแบ่งบิตข้อมูล แบ่งข้อมูลออกเป็นย่อยๆ ตามการเข้ารหัสข้อมูล ข้อมูล แบบ 8ฺฺB/10B จะแบ่งกลุ่มละ 8 บิต
2. การแทนที่บิตข้อมูล คือขั้นตอนการเพิ่มบิตพิเศษเข้าไป เพื่อช่วยในการตรวจสอบความสอดคล้องกันในการส่งข้อมูล และตรวจความผิดพลาด แบ่ง 3 ขั้นตอน
3. Line coding คือการแปลงข้อมูลบิตเป็นสัญญาณดิจิตอล

Sampling

คือการสุ่มสัญญาณ โดยกระบวนการแซมปลิง เป็นกระบวนการในการแปลงอะนาล็อค เป็นดิจิตอล
อัตราการแซมปลิงต่ำสุดที่จะทำให้แปลงเป็นดิจิตอลได้โดยสมบูรณ์ คือ สองเท่าของความถี่สูงสุด

Pulse Amplitude Modulation (PAM) 
คือวิธีการหนึ่งที่ใช้แปลงอะนาล็อกเป็นดิจิตอล โดยจะทำการสุ่มสัญญาณตามช่วงเวลาต่างๆ โดยจะแบ่งแต่ละช่วงเวลาของการแซมปลิงให้เท่าๆกัน ผลที่ได้จากการแซมปลิงจะเป็นลักษณะลำดับของพัลส์ (Pulse) และขนาดพัลส์จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับสัญญาณอะนาล็อก

ดังนั้น พัลส์แทนถึงอะนาล็อก
*PAM จะใช้ด้านวิศวกรรม แต่ในการสื่อสารไม่เป็นที่นิยมมากนัก
* เป็นพื้นฐานของ PCM

Pulse Code Modulation (PCM) 
-PAM ไม่ได้ส้รางดิจิตอลอย่างแท้จริง จึงดัดแปลง PAM ใหม่ เรียก PCM
- สัญญาณอะนาล็อกจะถูกควอนไตซ์(quantization) หรือกำหนดค่าตัวเลขให้กับพัลส์


Transmission Mode การส่งข้อมูลระหว่างคอมกับอุปกรณ์ภายนอกมี 2 วิธี คือแบบขนานกับอนุกรม

แบบอนุกรมแบ่งเป็น ซิงโครนัสกับอซิงโครนัส

การส่งแบบขนาน(Parallel Transmission) เป็นการส่งข้อมูลออกไปทีละหลายๆบิต แต่ถ้าส่งไป n บิต จะต้องใช้สาย n เส้น

* เร็ว แต่ค่าใช้จ่ายสูง
* เหมาะกับระยะทางที่สั้น ถ้าไประยะทางไกล อาจเกิดความผิดพลาดได้

การส่งข้อมูลแบบอนุกรม (Serial Transmission)  เป็นการส่งข้อมูลที่ใช้สายส่งเพียงเส้นเดียว ข้อมูลที่ส่งก็จะต้องเรียงกันออกไป โดยปกติถ้าส่งภายในคอมจะใช้แบบขนาน ถ้าภายนอกอาจจะอนุกรมก็ได้ ถ้าต้องต่อกับเครื่องภายนอกใช้แบบอนุกรม จะต้องแปลงข้อมูลจากขนานไปเป็นอนุกรม (parallel-to-serial) ก่อน ส่วนผู้รับจะต้องแปลงจากสายส่งไปเป็นขนานด้วย (serial-to-parallel)

อะซิงโครนัส(Asynchronous transmission) 
-เป็นการส่งข้อมูลครั้งละไบต์(1 Byte = 8 bits) 
-ไม่ต้องอาศัยสัญญาณนาฬิกา(Clock) ในการควบคุมจังหหวะของการส่งข้อมูล ฝ่ายรับจึงไม่ทราบเวลาที่แน่นอน 
- จึงต้องมีตัว start bit กำหนดเป็น 0 , stop bit กำหนดเป็น 1 เพื่อให้ฝ่ายรับทรายได้ว่าข้อมูลเริ่มตรงไหนสิ้นสุดตรงไหน การส่งอาจไม่ต่อเนื่องตลอด อาจมีช่องว่างได้(gap)
- ไม่ต้องอาศัยสัญญาณใดๆควบคุม เหมาะกับอุปกรณ์ความเร็วต่ำ เช่น Keyboard

ซิงโครนัส (Synchronous Transmission)
-ไม่ต้องอาศัย บิตเริ่มต้นและสิ้นสุด แต่มีสัญญาณ clock คุม
-สามารถส่งได้ต่อเนื่องเป็น "เฟรม" โดยไม่จำเป็นต้องมีช่องว่าง
- ฝ่ายรับข้อมูล จะต้องทำหน้าที่ในการแยกเฟรมออกเป็นไบต์เอง
- ฝ่ายรับจึงต้องนับจำนวนบิตข้อมูล เพราะไม่มีตัวสตาทสต็อป
- ซิงโครนัส มีความเร็วรับส่งข้อมูลเร็วกว่า อะซิงโครนัส และไม่มีช่องว่าง
- เหมาะกับอุปกรณ์ความเร็วสูง เช่น การส่งข้อมูลระหว่างคอม